close

ค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) คืออะไร ? มาทำความเข้าใจกัน

ค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) คืออะไร

ในโลกของการประกันภัย มีคำศัพท์เฉพาะมากมายที่ผู้ทำประกันควรทำความเข้าใจ หนึ่งในนั้นคือ ค่าเสียหายส่วนแรก  หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Deductible ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่มีผลต่อการจ่ายค่าสินไหมทดแทนและเบี้ยประกันภัย หลายคนอาจเคยได้ยินคำนี้แต่ยังไม่เข้าใจความหมายและความสำคัญอย่างถ่องแท้

การทำความเข้าใจเรื่องค่าเสียหายส่วนแรกเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยให้คุณสามารถเลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถในการรับความเสี่ยง อีกทั้งยังช่วยให้คุณเตรียมตัวรับมือกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความหมายของ ค่าเสียหายส่วนแรก

ค่าเสียหายส่วนแรก คือจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบจ่ายเองก่อนที่บริษัทประกันจะเริ่มจ่ายค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่เหลือ เป็นเสมือนการแบ่งความรับผิดชอบระหว่างผู้เอาประกันและบริษัทประกัน โดยมักกำหนดเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนหรือเป็นเปอร์เซ็นต์ของความเสียหายทั้งหมด

การมีค่าเสียหายส่วนแรกช่วยให้บริษัทประกันสามารถลดความเสี่ยงและต้นทุนในการดำเนินงาน ซึ่งส่งผลให้สามารถเสนอเบี้ยประกันในราคาที่ถูกลงได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่ไม่จำเป็นหรือมีมูลค่าน้อย

รูปแบบของค่าเสียหายส่วนแรก

รูปแบบของค่าเสียหายส่วนแรก

ค่าเสียหายส่วนแรกสามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ โดยแต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะและเหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้:

1. ค่าเสียหายส่วนแรกแบบกำหนดจำนวนเงิน (Fixed Deductible)

เป็นการกำหนดจำนวนเงินที่แน่นอนตายตัว เช่น 2,000 บาท, 5,000 บาท หรือ 10,000 บาท ซึ่งผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายในส่วนนี้ก่อนเสมอ ไม่ว่าความเสียหายทั้งหมดจะมีมูลค่าเท่าใดก็ตาม

ตัวอย่างการคำนวณ:

  • กรณีที่ 1: ค่าซ่อมรถ 8,000 บาท ค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท
    • ผู้เอาประกันจ่าย: 2,000 บาท
    • บริษัทประกันจ่าย: 6,000 บาท
  • กรณีที่ 2: ค่าซ่อมรถ 1,500 บาท ค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท
    • ผู้เอาประกันจ่ายทั้งหมด: 1,500 บาท
    • บริษัทประกันไม่ต้องจ่าย เพราะความเสียหายน้อยกว่าค่าเสียหายส่วนแรก

ข้อดี:

  • เข้าใจง่าย คำนวณสะดวก
  • รู้จำนวนเงินที่ต้องรับผิดชอบแน่นอน
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการความชัดเจนในการวางแผนการเงิน

ข้อจำกัด:

  • อาจไม่เหมาะกับความเสียหายที่มีมูลค่าสูงมาก
  • ไม่ยืดหยุ่นตามขนาดของความเสียหาย

2. ค่าเสียหายส่วนแรกแบบเปอร์เซ็นต์ (Percentage Deductible)

คำนวณจากเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด โดยทั่วไปมักกำหนดที่ 5%, 10% หรือ 15% ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทประกัน

ตัวอย่างการคำนวณ (กรณีกำหนด 10%):

  • กรณีที่ 1: ความเสียหาย 100,000 บาท
    • ผู้เอาประกันจ่าย: 10,000 บาท (10%)
    • บริษัทประกันจ่าย: 90,000 บาท
  • กรณีที่ 2: ความเสียหาย 50,000 บาท
    • ผู้เอาประกันจ่าย: 5,000 บาท (10%)
    • บริษัทประกันจ่าย: 45,000 บาท

ข้อดี:

  • ยืดหยุ่นตามมูลค่าความเสียหาย
  • เหมาะกับทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง
  • สัดส่วนความรับผิดชอบเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย

ข้อจำกัด:

  • คำนวณซับซ้อนกว่าแบบกำหนดจำนวนเงิน
  • ยากในการประมาณการณ์ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า

3. ค่าเสียหายส่วนแรกแบบผสม (Combined Deductible)

เป็นการผสมผสานระหว่างแบบกำหนดจำนวนเงินและแบบเปอร์เซ็นต์ โดยจะเลือกจ่ายแบบที่มีมูลค่าสูงกว่าระหว่างสองแบบ

ตัวอย่างการคำนวณ (กำหนด 2,000 บาท หรือ 10% แล้วแต่จำนวนใดสูงกว่า):

  • กรณีที่ 1: ความเสียหาย 15,000 บาท
    • 10% = 1,500 บาท
    • จำนวนเงินคงที่ = 2,000 บาท
    • ผู้เอาประกันจ่าย: 2,000 บาท (เลือกจำนวนที่สูงกว่า)
    • บริษัทประกันจ่าย: 13,000 บาท
  • กรณีที่ 2: ความเสียหาย 30,000 บาท
    • 10% = 3,000 บาท
    • จำนวนเงินคงที่ = 2,000 บาท
    • ผู้เอาประกันจ่าย: 3,000 บาท (เลือกจำนวนที่สูงกว่า)
    • บริษัทประกันจ่าย: 27,000 บาท

ข้อดี:

  • มีความยืดหยุ่นสูง
  • เหมาะสำหรับการคุ้มครองทรัพย์สินที่มีมูลค่าหลากหลาย
  • ช่วยให้บริษัทประกันสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น

ข้อจำกัด:

  • การคำนวณซับซ้อน
  • อาจสร้างความสับสนให้ผู้เอาประกัน
  • ต้องเปรียบเทียบตัวเลขทุกครั้งที่เกิดความเสียหาย

ข้อดีของการมีค่าเสียหายส่วนแรก

1. เบี้ยประกันถูกลง

  • ผู้เอาประกันสามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันได้ 10-30%
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านการประกัน
  • ช่วยให้สามารถเลือกความคุ้มครองที่สูงขึ้นได้ในงบประมาณเท่าเดิม

2. ส่งเสริมความระมัดระวัง

  • ผู้เอาประกันมีแนวโน้มที่จะใช้ความระมัดระวังมากขึ้น
  • ลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหาย
  • สร้างความรับผิดชอบในการดูแลทรัพย์สิน

ค่าเสียหายส่วนแรก

ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกค่าเสียหายส่วนแรก

  1. ความสามารถในการจ่าย
  • ประเมินสภาพคล่องทางการเงินของตนเอง
  • พิจารณาเงินสำรองฉุกเฉินที่มี
  • คำนึงถึงความถี่ในการใช้ประกัน
  1. มูลค่าทรัพย์สินที่ทำประกัน
  • ทรัพย์สินมูลค่าสูงอาจเหมาะกับค่าเสียหายส่วนแรกที่สูงขึ้น
  • พิจารณาต้นทุนการซ่อมแซมโดยเฉลี่ย
  • ประเมินความเสี่ยงในการเกิดความเสียหาย

ตัวอย่างการคำนวณค่าเสียหายส่วนแรก

กรณีที่ 1: ค่าเสียหายส่วนแรกแบบกำหนดจำนวนเงิน

  • ค่าเสียหายส่วนแรก: 2,000 บาท
  • ความเสียหายที่เกิดขึ้น: 10,000 บาท
  • ผู้เอาประกันจ่าย: 2,000 บาท
  • บริษัทประกันจ่าย: 8,000 บาท

กรณีที่ 2: ค่าเสียหายส่วนแรกแบบเปอร์เซ็นต์

  • ค่าเสียหายส่วนแรก: 10%
  • ความเสียหายที่เกิดขึ้น: 50,000 บาท
  • ผู้เอาประกันจ่าย: 5,000 บาท
  • บริษัทประกันจ่าย: 45,000 บาท

สรุป

ค่าเสียหายส่วนแรกเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงระหว่างผู้เอาประกันและบริษัทประกัน การเลือกค่าเสียหายส่วนแรกที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครองที่ตรงกับความต้องการในราคาที่เหมาะสม โดยต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ ทั้งความสามารถในการจ่าย มูลค่าทรัพย์สิน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ที่มาข้อมูล:

  1. สมาคมประกันวินาศภัยไทย
  2. สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
  3. สมาคมประกันชีวิตไทย
Liger

Liger นักเขียนผู้หลงใหลในการแสวงหาความรู้และแบ่งปันสิ่งดีๆ สู่ผู้อื่น ด้วยความรักและสนในการเรียนรู้ค้นคว้าหาสิ่งใหม่เพื่อที่จะเผยแพร่ความรู้ ข้อมูล สาระดีคุณค่า นำมาถ่ายทอดในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าติดตาม หวังว่าสิ่งที่ผมถ่ายทอดจะเป็นประโยชน์และสร้างคุณค่าให้กับผู้อ่านทุกคน ทำให้สังคมแห่งการเรียนรู้เติบโตและพัฒนาไปด้วยกัน

Tags : ประกันรถยนต์