ขนมทองพลุ ขนมไทยโบราณที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย มีลักษณะเด่นคือเป็นขนมทรงกลมแบน ทำจากแป้งข้าวเจ้าและแป้งมัน ผสมกับกะทิและน้ำตาล นวดจนเข้ากัน แล้วนำมาทอดในน้ำมันร้อนจนสุกเหลืองกรอบ มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ในอดีต ขนมทองพลุมักทำขึ้นในงานมงคลต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานบวช หรืองานขึ้นบ้านใหม่ เพราะเป็น ขนมไทยชื่อมงคล มีความเชื่อว่าชื่อ “ทองพลุ” จะนำความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ดั่งคำว่าทองคำมาสู่เจ้าภาพและผู้รับประทาน ปัจจุบันแม้จะหาทานได้ยากขึ้น แต่ยังคงมีการสืบทอดวิธีการทำจากรุ่นสู่รุ่นในหลายครอบครัว
ประวัติความเป็นมาของขนมทองพลุ
ขนมทองพลุ มีต้นกำเนิดมาจากภาคกลางของประเทศไทย โดยมีการสันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากขนมของชาวมอญที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสมัยอยุธยา ชื่อ “ทองพลุ” มาจากลักษณะของขนมที่เมื่อทอดแล้วจะพองตัวขึ้นคล้ายดอกไม้ไฟหรือพลุ และมีสีเหลืองทองสวยงาม ในสมัยโบราณ ขนมชนิดนี้มักถูกทำขึ้นในงานมงคลและเทศกาลสำคัญ เพราะชาวบ้านเชื่อว่าจะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ผู้จัดงานและผู้รับประทาน
การทำขนมทองพลุได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นผ่านครัวเรือนชาวมอญและชาวไทยในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี ซึ่งเป็นแหล่งที่มีชุมชนชาวมอญอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น วิธีการทำดั้งเดิมนั้นจะใช้แป้งข้าวเจ้าที่โม่สดใหม่จากโรงสีในท้องถิ่น ผสมกับกะทิคั้นสด และน้ำตาลโตนดที่นำมาจากแถบภาคใต้ ทำให้ได้ขนมที่มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม และเนื้อสัมผัสที่กรอบนอกนุ่มใน
ความพิเศษของขนมทองพลุอยู่ที่การเป็นขนมที่ต้องใช้ความประณีตและความชำนาญในการทำ ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ การนวดแป้ง การขึ้นรูป ไปจนถึงการควบคุมอุณหภูมิน้ำมันในการทอด ซึ่งทักษะเหล่านี้ต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์อย่างยาวนาน จึงทำให้ขนมชนิดนี้กลายเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมด้านอาหารที่ทรงคุณค่าของไทย แม้ในปัจจุบันจะหาทานได้ยากขึ้น แต่ก็ยังมีการสืบทอดวิธีการทำในครอบครัวและชุมชนบางแห่ง รวมถึงมีการจัดการอบรมสอนทำขนมโบราณเพื่อเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป
CR: htttps://dessertsmate.com/ขนมทองพลุ/
ส่วนผสมในการทำขนมทองพลุ
- แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วย: เป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้ขนมมีความกรอบและเบา ควรเลือกแป้งที่บดละเอียด มีคุณภาพดี เพื่อให้ได้เนื้อขนมที่เนียนนุ่ม
- แป้งมัน 1/2 ถ้วย: ช่วยให้ขนมมีความนุ่มและกรอบที่พอเหมาะ ทำให้ขนมไม่แข็งจนเกินไป อีกทั้งยังช่วยให้ขนมพองตัวสวยเมื่อทอด
- กะทิสด 1 ถ้วย: ให้ความหอมและความมันแก่ขนม ควรใช้กะทิคั้นสดที่ไม่เจือจางเพื่อรสชาติที่กลมกล่อม แนะนำให้คั้นเองจะได้กลิ่นหอมที่ดีกว่า
- น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย: ให้ความหวานที่พอเหมาะ และช่วยให้ขนมมีสีสวยเมื่อทอด ไม่ควรใส่มากเกินไปเพราะจะทำให้ขนมไหม้ง่าย
- เกลือป่น 1/4 ช้อนชา: ช่วยเพิ่มรสชาติให้กลมกล่อม และช่วยให้แป้งมีความเหนียวนุ่มที่พอดี อีกทั้งยังช่วยถนอมอาหารได้ด้วย
- น้ำมันสำหรับทอด (พอประมาณ): ควรใช้น้ำมันที่ทนความร้อนสูง เช่น น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันถั่วเหลือง เพื่อให้ขนมสุกทั่วถึงและไม่อมน้ำมัน
- น้ำสะอาด (ตามความเหมาะสม): ใช้สำหรับปรับความนุ่มของแป้ง ค่อยๆ เติมทีละน้อยระหว่างนวดแป้งจนได้ความเหนียวนุ่มที่พอดี
- แป้งสำหรับโรยขณะนวด (เล็กน้อย): ช่วยป้องกันไม่ให้แป้งติดมือขณะนวดและขึ้นรูป ควรใช้แป้งข้าวเจ้าเช่นเดียวกับที่ใช้ทำขนม
วิธีทำขนมทองพลุแบบดั้งเดิม
- การเตรียมแป้ง
-
- ร่อนแป้งข้าวเจ้าและแป้งมันเข้าด้วยกันเพื่อให้เนื้อแป้งละเอียด ไม่จับตัวเป็นก้อน
- ผสมน้ำตาลทรายและเกลือลงในกะทิ คนให้ละลาย
- การนวดแป้ง
-
- ค่อยๆ เทส่วนผสมกะทิลงในแป้งที่ร่อนไว้
- นวดจนแป้งเนียนนุ่ม ไม่ติดมือ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
- พักแป้งไว้ 30 นาทีโดยคลุมด้วยผ้าขาวบาง
- การขึ้นรูปและทอด
-
- แบ่งแป้งเป็นก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าลูกพุทรา
- แผ่แป้งให้เป็นแผ่นบางๆ ด้วยไม้คลึงหรือฝ่ามือ
- ทอดในน้ำมันร้อนปานกลางจนเหลืองกรอบทั้งสองด้าน
ขอบคุณภาพจาก http://www.chaipat.or.th/chaipat-news/6740-17-2557-2223.html
เคล็ดลับการทำขนมทองพลุให้อร่อย
- การเลือกแป้ง: ควรใช้แป้งข้าวเจ้าที่มีคุณภาพดี บดละเอียด จะทำให้ขนมกรอบนาน ไม่อมน้ำมัน
- อุณหภูมิน้ำมัน: ควรใช้น้ำมันที่ร้อนปานกลาง ประมาณ 170-180 องศาเซลเซียส หากร้อนเกินไปขนมจะไหม้ หากเย็นเกินไปจะอมน้ำมัน
- การนวดแป้ง: ต้องนวดให้เนียนนุ่มพอดี หากนวดน้อยเกินไปขนมจะแข็ง หากนวดมากเกินไปขนมจะเหนียว
การเก็บรักษาขนมทองพลุ
- การเก็บระยะสั้น: เก็บในภาชนะมีฝาปิดสนิท วางในที่แห้ง อากาศถ่ายเท สามารถเก็บได้นาน 3-5 วัน
- การเก็บระยะยาว: สามารถแช่เย็นในตู้เย็นได้นานถึง 2 สัปดาห์ แต่ต้องอุ่นก่อนรับประทานเพื่อให้กลับมากรอบอีกครั้ง
คุณค่าทางโภชนาการของขนมทองพลุ
- คาร์โบไฮเดรตจากแป้งข้าวเจ้าและแป้งมัน: ให้พลังงานแก่ร่างกาย 65% ต่อ 100 กรัม เป็นแหล่งพลังงานหลักที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าหลังรับประทาน
- ไขมันจากกะทิและน้ำมันทอด: มีปริมาณ 20% ต่อ 100 กรัม กะทิมีกรดไขมันขนาดกลางที่ร่างกายย่อยและดูดซึมได้ง่าย แต่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเนื่องจากมีแคลอรี่สูง
- โปรตีนจากแป้งข้าวเจ้า: มีปริมาณ 10% ต่อ 100 กรัม แม้จะมีปริมาณไม่มาก แต่เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้โปรตีนจากกลูเตน
- ใยอาหารจากแป้งข้าวเจ้า: มีปริมาณ 5% ต่อ 100 กรัม ช่วยในระบบการย่อยอาหารและการขับถ่าย แม้จะมีปริมาณไม่มาก แต่ก็ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
- วิตามินและแร่ธาตุ: อุดมไปด้วยวิตามินอีจากน้ำมันมะพร้าว แคลเซียมและฟอสฟอรัสจากกะทิ ช่วยบำรุงผิวพรรณและกระดูก อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
- พลังงานรวม: ให้พลังงานประมาณ 350-400 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 กรัม จัดเป็นขนมที่ให้พลังงานค่อนข้างสูง จึงควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่ควบคุมน้ำหนักหรือผู้ป่วยเบาหวาน
แหล่งอ้างอิงข้อมูล
- ทำความรู้จักกับขนมทองพลุ
- วิธีทำทองพลุ
Liger นักเขียนผู้หลงใหลในการแสวงหาความรู้และแบ่งปันสิ่งดีๆ สู่ผู้อื่น ด้วยความรักและสนในการเรียนรู้ค้นคว้าหาสิ่งใหม่เพื่อที่จะเผยแพร่ความรู้ ข้อมูล สาระดีคุณค่า นำมาถ่ายทอดในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าติดตาม หวังว่าสิ่งที่ผมถ่ายทอดจะเป็นประโยชน์และสร้างคุณค่าให้กับผู้อ่านทุกคน ทำให้สังคมแห่งการเรียนรู้เติบโตและพัฒนาไปด้วยกัน